Thursday, November 18, 2010

มั่งมี 1994-2010

Tuesday, June 22, 2010

ดึกมากแล้ว วันนี้แหละ ปีไหนไม่รู้ เหมือนนานมาแล้ว . . .


เวลาก็ประมาณนี้ . . . เกินห้าทุ่ม ใกล้ๆเที่ยงคืน
ผมขับรถออกจากบ้าน
บึ่งไปตามทางที่ยังสร้างไม่เสร็จ บางช่วงไฟข้างทางยังไม่มี มืดมาก ผิวถนนก็ยังเป็นลูกรังขรุขระ
ขับๆไปเสียวเหมือนกันว่าจะเกิดอุบัติเหตุเสียก่อน

. . . . . .


22 มิถุนายน 2553
23.30 น.

Monday, January 25, 2010

Hegel on Love: ในความรัก ฉันค้นพบตัวตนของฉัน ในตัวตนของเธอ, เธอค้นพบตัวตนของเธอ ในตัวตนของฉัน



The more I give to thee the more I have
(ยิ่งฉันให้เธอมาก ฉันยิ่งมีมาก)


เฮเกลอ้างข้อความนี้จาก โรมีโอกับจูเลียต ในงานที่รู้จักกันในชื่อว่า Fragment on Love (ชิ้นส่วนต้นฉบับงานเขียนว่าด้วยความรัก) ซึ่งเขียนในปี 1797-1798 ระหว่างที่เขาอยู่แฟรงเฟิร์ต เพื่อสนับสนุนข้อเสนอของเขาว่า ในความรัก ขั้วตรงข้าม (opposites) ระหว่าง "อัตตา" (Self) หรือ Subject (องค์ประธาน) กับ "ผู้อื่น" (Other) หรือ Object (สิ่ง) ได้รวมเป็นเอกภาพ (identity / unity) โดยที่การรวมเป็นเอกภาพนี้ เป็นการรวมที่รักษาความแตกต่าง เป็นการรวมในความแตกต่าง (unity-in-difference) และโดยผ่านความแตกต่าง

เพราะในความรัก แต่ละคนจะ "สูญเสีย" ความเป็นตัวเองให้กับคนรักของตน คือสละการยึดตัวเองในฐานะปัจเจก (as an individual) แต่พร้อมกับการทิ้งความเป็นปัจเจกของตัวเอง แต่ละคนก็จะ "ได้" หรือ "ค้นพบตัวเอง" ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใหม่ที่มากกว่าตัวเอง (as part of a wider whole)

ในความรัก จึงมีทั้งช่วง (moment) ของการสละตัวเอง (self-surrender) และช่วงของการค้นพบตัวเอง (self-discovery)

นี่คือความหมายของกระบวนการย้อนแย้ง (paradoxical) ของความรัก ดังที่จูเลียตบอกต่อโรมีโอว่า "ยิ่งฉันให้เธอมาก, ฉันยิ่งมีมาก"

ในความรัก การที่แต่ละคนสละความเป็นตัวเองให้กับผู้อื่น(คนรักของตน) และค้นพบความเป็นตัวเองในผู้อื่น เท่ากับว่า แต่ละคนได้ทำให้ตัวตนภายในของตนกลายเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกในผู้อื่น หรือ externalization (เปลี่ยนภายในเป็นภายนอก) ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สิ่งที่อยู่ภายนอกคือคนรักของตนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนภายในของตัวเอง หรือ internaalization (เปลี่ยนภายนอกเป็นภายใน) ถ้าการเปลี่ยนตัวตนภายในเป็นภายนอก (externalization) ถือว่าเป็นช่วงของการปฏิเสธตัวเอง (self-negation) ช่วงการเปลี่ยนให้ภายนอกหรือคนรักของตนเป็นส่วนหนึ่งของตน (internalization) ก็ต้องถือเป็นช่วงของการยืนยันความเป็นตัวเอง (self-affirmation) หรือการปฏิเสธการปฏิเสธตัวเอง (negation of self-negation)

ในความรัก ฉันค้นพบตัวตนของฉัน ในตัวตนของเธอ, เธอค้นพบตัวตนของเธอ ในตัวตนของฉัน
The self (the subject) finds itself in the other (the object) as the other finds itself in the self.

ความรัก จึงเป็นเอกภาพระหว่างตัวตนและผู้อื่น self and the other ระหว่าง subject กับ object หรือ subject-object identity แต่ขณะเดียวกัน ในเอกภาพนี้ ก็มีความแตกต่างอยู่ด้วย คือ แต่ละคน รัก คนรัก เพราะคนรักมีความแตกต่างจากตน เป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่ตน ความรักเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อแต่ละคนยอมรับว่าอีกคนหนึ่งมีฐานะเป็นอิสระและเท่าเทียมกับตน (ไม่ใช่ต่ำกว่าหรือต้องขึ้นต่อตน) ดังนั้น จึงมีทั้งด้านที่ไม่เอกภาพ, ที่เป็นอิสระต่อกัน หรือ subject-object non-identity อยู่ด้วย

ความรักจึงเป็น เอกภาพของทั้งความเป็นเอกภาพและความไม่เป็นเอกภาพ
identity of identity and non-identity


ในตอนหนึ่งของงานเขียนอีกชิ้นหนึ่งที่เขียนขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน เฮเกลเรียกกระบวนการทั้งหมดของการสูญเสียตัวเอง-ค้นพบตัวเอง (self-surrender / self-discovery), การทำให้ภายในของตัวเองเป็นสิ่งภายนอก-ทำให้สิ่งภายนอกเป็นส่วนหนึ่งของภายในตัวเอง (externalization / internalization) ว่า "สปิริต" (Spirit หรือ Geist ในภาษาเยอรมัน) นี่คือจุดเริ่มต้นของการสร้างจินตภาพที่มีความสำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ปรัชญา . . . .




........................

กรุงเทพ
25 มกราคม 2010

Saturday, January 9, 2010

"เธอ" ผู้เป็น "ที่พึ่งของนักปราชญ์"



เวลาผมอ่านหนังสือหรือแม้แต่แค่หยิบขึ้นมาพลิกๆดู ผมจะดูพวกคำขอบคุณและคำอุทิศของผู้เขียนเสมอ ผมรู้สึกมันน่าสนใจดี โดยเฉพาะหนังสือฝรั่ง มีหลายเล่มที่เขียนคำอุทิศได้ประทับใจมาก แม้เราจะไม่รู้จักคนที่เขาอุทิศให้เลยก็ตาม

หนังสือไทยไม่ค่อยนิยมทำคำอุทิศเท่าไรนัก ในขณะที่ผมจำคำอุทิศที่ประทับในหนังสือของฝรั่งได้หลายเล่ม ผมนึกถึงคำอุทิศในหนังสือไทยที่ผมชอบไม่ค่อยได้ ยกเว้นเพียง 1-2 กรณีเท่านั้น เช่นกรณีคำอุทิศของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ที่ขอโทษปรีดี (ผมยังจำความรู้สึกที่เห็นครั้งแรก เมื่อเปิดพลิกๆดูหนังสือเล่มนั้น ที่แผงหนังสือหน้าประตูธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ได้ดี)

แต่คำอุทิศหนังสือไทยที่ผมชอบมากๆ เป็นของสุวินัย ภรณวลัย ในหนังสือของเขา 2 เล่ม เมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้ว . . .

ในช่วงทศวรรษ 2520 สุวินัย ได้ตีพิมพ์งานหลายชิ้นเกี่ยวกับมาร์กซิสม์ โดยเฉพาะงานเป็น "ชุด" (series) ที่ชื่อ "ประวัติศาสตร์ขบวนการความคิดสังคมนิยมโดยสังเขป" ที่เขาวางแผนว่า จะเขียนเล่าความเป็นไปของมาร์กซิสม์ตั้งแต่สมัยมาร์กซ มาถึงสมัยองค์การสากลที่สอง, สมัยของเลนิน โรซ่า ลุกเซมเบอร์ก ทร็อตสกี้ และกรัมชี่ เรียงลำดับมาจนถึงปัจจุบัน (ในขณะนั้น) ซึ่งในทัศนะของผม ยังเป็นงานเกี่ยวกับประวัติมาร์กซิสม์ที่ดีที่สุดในภาษาไทยแม้จนทุกวันนี้ แต่เสียดายว่า สุวินัยเขียนไปได้ถึงเพียง ลุกเซมเบร์กและเลนิน ก็หยุดเขียน เพราะเขาเลิกเป็นมาร์กซิสต์เสียก่อน!

ในระหว่างนั้น นอกจากงานชุดประวัติศาสตร์มาร์กซิสม์นี้แล้ว สุวินัยยังเขียนงานชิ้นอื่นๆเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ความเป็นไปของขบวนการฝ่ายซ้ายอีก 2-3 เรื่อง เช่น เมื่อเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ของขบวนการโซลิดาริตี้ในโปแลนด์ และเมื่อเกิด "วิกฤติศรัทธา" ที่ปัญญาชนไทยไม่เพียงแต่ละทิ้ง พคท. แต่พากันละทิ้งมาร์กซิสม์ด้วย

ปี 2525 สุวินัยตึพิมพ์หนังสือป๊อกเก็ตบุ๊คเล็กๆเล่มหนึ่งชื่อ "ความอับจนของลัทธิมาร์กซ หรือ ความอับจนของลัทธิเหมา" เพื่อตอบโต้สถานการณ์ดังกล่าว โดยเฉพาะตอบโต้ต่อการตีพิมพ์หนังสือของ ปรีดี บุญซื่อ ที่ชื่อ "ความอับจนของลัทธิมาร์กซ" ซึ่งปรีดี เขียนหลังออกจากป่า และปฏิเสธไม่เพียงแต่ พคท. แต่ปฏิเสธมาร์กซด้วย (ปรีดีอาศัยแนวคิดของ โคลาโควสกี้ [Leszek Kolakowski] เป็นหลัก) แน่นอน การที่อีกไม่กี่ปีต่อมา สุวินัยเองจะยอมรับใน "ความอับจน" ของมาร์กซ เสียเอง และออกจากมาร์กซิสม์ เป็นเรื่องชวนเศร้า (irony) อย่างหนึ่ง

ในหนังสือเล่มนี้ สุวินัย ได้เขียนคำอุทิศ ซึ่งกินพื้นที่เกือบเต็มหน้าเล็กๆของหนังสือ (ตามคำนำ เขาเขียนงานนี้ในเดือนสิงหาคม 2524) ดังนี้

คำอุทิศ
แด่ "ที่พึ่งของนักปราชญ์"

ถ้าใครสักคนจะผลิตงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง แค่การมี Ambition (ความทะเยอทะยาน) เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่มันจะต้องมี Aspiration (ความมุ่งมาดปรารถนา) อยู่ด้วย เพราะใน Ambition ไม่มี สิ่งที่ Aspiration มี สิ่งนั้นคือ ความงามในหัวใจ หรือความงามในจิตใจ และเพราะการมี "ความงามในหัวใจ" นี่เอง ที่ทำให้ Ambition จึงได้กลายเป็น Aspiration ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เฮเกล (Hegel) เรียกว่า Passion (ความเร่าร้อน) "เธอ" ผู้เป็น "ที่พึ่งของนักปราชญ์" ก็คือผู้ที่ทำให้ความงามในทางจิตใจเกิดขึ้นในหัวใจของชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน อันเป็นส่วนหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้สำหรับการผลิตงานที่สร้างสรรค์.

อีกไม่กี่เดือนต่อมา สุวินัยตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่งชื่อ "มรดกทางความคิดของสหภาพแรงงานโซลิดาริตี้" (สุวินัย ลงวันที่เขียน 6 เมษายน 1982[2525] ที่เกียวโต ฤดูใบไม้ผลิ) ในหน้าคำอุทิศของหนังสือเล่มนี้ มีข้อความที่เกือบจะเหมือนกับหนังสือข้างต้นทุกประการยกเว้นบรรทัดแรกสุดที่เพิ่มคำว่า "ผู้เคยเป็น" เข้ามา ดังนี้

คำอุทิศ
แด่ ผู้เคยเป็น "ที่พึ่งของนักปราชญ์"


ถ้าใครสักคนจะผลิตงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง แค่การมี Ambition (ความทะเยอทะยาน) เพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ แต่มันจะต้องมี Aspiration (ความมุ่งมาดปรารถนา) อยู่ด้วย เพราะใน Ambition ไม่มี สิ่งที่ Aspiration มี สิ่งนั้นคือ ความงามในหัวใจ หรือความงามในจิตใจ และเพราะการมี "ความงามในหัวใจ" นี่เอง ที่ทำให้ Ambition จึงได้กลายเป็น Aspiration ซึ่งสิ่งนี้แหละที่เฮเกล (Hegel) เรียกว่า Passion (ความเร่าร้อน) "เธอ" ผู้เป็น "ที่พึ่งของนักปราชญ์" ก็คือผู้ที่ทำให้ความงามในทางจิตใจเกิดขึ้นในหัวใจของชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน อันเป็นส่วนหนึ่งที่จะขาดเสียมิได้สำหรับการผลิตงานที่สร้างสรรค์.

ผมประทับใจคำอุทิศของหนังสือ 2 เล่มนี้มาก วันหนึ่ง ผมเจอสุวินัย ก็เลยถามความหมายจากเขาว่า พอจะบอกได้หรือไม่ สุวินัยเป็นคนที่มีนิสัยดีอย่างหนึ่ง อย่างน้อยในสมัยนั้น (ผมไม่สนิทกับเขาในขณะนี้พอจะพูดได้) คือ ซื่อๆตรงๆ ไม่มีลักษณะลับลมคมใน เขาก็บอกผมตรงๆว่า คำอุทิศดังกล่าวเขียนให้กับคนรักของเขา ชื่อของเธอ แปลเป็นภาษาไทยว่า "ที่พึ่งของนักปราชญ์" ส่วนที่มีความแตกต่าง จาก "ที่พึ่งของนักปราชญ์" มาเป็น "ผู้เคยเป็น ที่พึ่งของนักปราชญ์" นั้น ก็เพราะตอนที่เขียนเล่มหลัง ทั้งคู่เลิกเป็นคนรักกันแล้ว ผมไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะไม่ได้สนใจเรื่องที่เป็นส่วนตัวของเขามากไปกว่านั้น ได้แต่เก็บความประทับใจในคำอุทิศของหนังสือ 2 เล่มของสุวินัยนี มาจนทุกวันนี้

9 มกราคม 2553


Thursday, January 7, 2010

ทร็อตสกี้, เฟสบุ๊ค, เสกสรรค์ "ศิลปินแห่งชาติ"



ผมเคยอ่านที่ไหนจำไม่ได้แล้วเกี่ยวกับทร็อตสกี้ คนเขียนบอกว่า หลังจากทร็อตสกี้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ภายในพรรคและถูกเนรเทศระเหเร่รอนในที่สุด ตลอดประมาณ 10 ปีที่เหลือในชีวิตของเขา (ประมาณ 1929-1940) เขาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเอง belong ต่อโลกรอบข้าง ณ ปัจจุบันเลย เขาจะมองโลก โดยผ่านเลนส์ของอดีต สมัยการปฏิวัติยังรุ่งโรจน์ งานเขียนทุกอย่างของเขา แฝงไว้ด้วยลักษณะ melancholy ลึกๆ ถึงโลกและเวลาที่ลับไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว . . . .

เมื่อกี้ ผมลองเข้าไปดูไอ้ "เฟสบุ๊ค" ว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เห็นพูดถึงกันเหลือเกิน ส่วนหนึ่งเพราะบอร์ดฟ้าเดียวกัน มันเดี้ยงอีก และเห็นมีคนโพสต์ที่ประชาไทว่า คงหันไปเล่น "เฟสบุ๊ค" กันหมด ก็เลยลองเข้าไปดู (ไม่ได้ใช้ชื่อจริงสมัครหรอก โชคดีมากๆเลย ไม่งั้น ไม่รู้จะลบได้หรือเปล่า) ดูแล้วก็สรุปว่า สงสัยไอ้เทคโนโลยี่ "โซเชียล เน็ตเวิร์กกิ้ง" นี่ ผมคงตามไปไม่ไหว

เสกสรรค์ ได้เป็น "ศิลปินแห่งชาติ" ... โลกมันเปลี่ยนไปจริงๆ